เมนู

ขึ้นแล้วเสื่อมลง ย่อมตายเพราะความหิวและ
ความกระหาย นรชนรู้โทษอันเกิดด้วยอำนาจ
ความถือตัวว่า เป็นใหญ่อย่างนี้แล้ว ละความเมา
ในความเป็นใหญ่ได้แล้ว พึงไปสู่สวรรค์ นรชน
ผู้มีปัญญาเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสวรรค์.

จบ กุมารเปตวัตถุที่ 6

อรรถกถากุมารเปตวัตถุที่ 6



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภเปรต 2 ตน จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สาวตฺถิ
นาม นครํ
ดังนี้
ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี พระเจ้าโกศลมีพระโอรส 2 พระองค์
น่าเลื่อมใส กำลังอยู่ในปฐมวัย มัวเมาในความเป็นหนุ่ม กระทำ
กรรมคือคบหาภรรยาของคนอื่น ทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเปรต
ที่หลังคู. ในเวลากลางคืน เปรตเหล่านั้นพากันรำพันด้วยเสียง
อันน่าสะพึงกลัว พวกมนุษย์ได้ฟังเสียงนั้น พากันสะดุ้งกลัว คิดว่า
เมื่อพวกเราทำอย่างนี้ อวมงคลนี้ย่อมสงบ จึงพากันถวายมหาทาน
แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก
และอุบาสิกาทั้งหลาย เพราะได้ยินเสียงนั้น อันตรายอะไร ๆ ย่อม

ไม่มีแก่พวกท่าน เพื่อจะตรัสบอกเหตุแห่งเสียงนั้นแล้วแสดงธรรม
แก่มนุษย์เหล่านั้น จึงได้ตรัสพระคาถาว่า :-
ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ว่า มีพระกุมาร
สองพระองค์ เป็นพระราชโอรสอยู่ในกรุงสาวัตถี
ข้างหิมวันตประเทศ พระราชกุมารทั้งสองพระ-
องค์นั้น เป็นผู้มัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด ทรงเพลิดเพลินด้วยอำนาจความ
ยินดีในกาม ทรงติดอยู่ในความสุขปัจจุบัน ไม่
ทรงเห็นสุขในอนาคต คั้นจุติจากความเป็น
มนุษย์ไปจากโลกนี้สู่เปตโลกแล้ว เกิดเป็นเปรต
ไม่แสดงกายให้ปรากฏ ร้องประกาศธรรมชั่ว
ของตนที่ได้กระทำไว้ในกาลก่อนว่า เมื่อพระ-
ทักขิไณยบุคคลมีอยู่เป็นอันมาก และไทยธรรม
อันเขาเข้าไปตั้งไว้ก็มีอยู่ พวกเราไม่อาจทำบุญ
อันนำมาซึ่งความสุขต่อไปแม้เล็กน้อย และทำ
อันให้มีความสวัสดีได้ อะไรจะพึงลามกกว่า
กามนั้น พวกเราจุติจากราชสกุลแล้วไปบังเกิด
ในเปตวิสัย พรั่งพร้อมไปด้วยความหิวและความ
กระหาย เมื่อก่อนในโลกนี้ เคยเป็นเจ้าของใน
ที่ใด ย่อมไม่ได้เป็นเจ้าของในที่นั้นอีก มนุษย์
ทั้งหลายเจริญขึ้นแล้วกลับเสื่อมลง ย่อมตาย

เพราะความหิวและความกระหาย นรชนรู้โทษ
อันเกิดด้วยอำนาจความถือตัวว่าเป็นใหญ่อย่าง
นี้แล้ว ละความมัวเมาในความเป็นใหญ่ได้แล้ว
พึงไปสู่สวรรค์ นรชนผู้มีปัญญาเมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงสวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิติ เม สุตํ ความว่า เราได้เห็น
ด้วยญาณของตนอย่างเดียวเท่านั้น ก็หามิได้ โดยที่แท้ เราได้ฟัง
มาอย่างนี้ โดยที่ปรากฏในโลก.
บทว่า กามสฺสาทาภินนฺทิโน ได้แก่ มีปกติเพลิดเพลินด้วย
อำนาจความยินดีในกามคุณ. บทว่า ปจฺจุปฺปนฺนสุเข คิทฺธา ได้แก่
เป็นต้น คือข้องในอารมณ์รักว่าความสุขที่เป็นปัจจุบัน. บทว่า
น เต ปสฺสึสุนาคตํ ความว่า พระราชกุมารทั้งสองนั้นละทุจริต
ประพฤติสุจริต ไม่คิดถึงสุขที่จะพึงได้ในเทวดาและมนุษย์ในอนาคต
คือในกาลต่อไป.
บทว่า เตธ โฆเสนฺตุทิสฺสนฺตา ความว่า เปรตเหล่านั้น
เมื่อก่อนเป็นราชโอรส มีรูปไม่ปรากฏร้องคร่ำครวญอยู่ในที่
ใกล้กรุงสาวัตถีนี้. เพื่อจะเลี่ยงคำถามว่า คร่ำครวญว่าอย่างไร ?
ท่านจึงกล่าวว่า ตนได้ทำกรรมชั่วไว้ในกาลก่อน.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงจำแนกเหตุแห่งการคร่ำครวญของเปรต
เหล่านั้น โดยเหตุและผล ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อพระทักขิไณยบุคคล
มีอยู่มาก ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหูสุ วต สนฺเตสุ ได้แก่ เมื่อ
พระทักขิไณยเป็นอันมากมีอยู่. บทว่า เทยฺยธมฺเม อุปฏฺฐิเต ความว่า
แม้เมื่อไทยธรรมที่ควรให้อันเป็นของตนอันไว้แล้วในที่ใกล้ อธิบาย
ว่า อันจะได้อยู่. บทว่า ปริตฺตํ สุขาวหํ มีวาจาประกอบความว่า
เราไม่อาจทำบุญอันเป็นเหตุนำมาซึ่งความสุขในอนาคตแม้มี
ประมาณน้อย แล้วทำตนให้มีความสวัสดี คือ ให้ปราศจากอุปัท-
วันตราย.
บทว่า กึ ตโต ปาปกํ อสฺส ความว่า ชื่อว่ากรรมอันเป็นบาป
คือลามกกว่านั้น จะพึงกลายเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร. บทว่า
ยํ โน ราชกุลา จุตา ความว่า เพราะบาปกรรมอันใด พวกเรา
จึงจุติจากราชสกุล เกิดในเปตวิสัยนี้ คือ บังเกิดในหมู่เปรต
เพียบพร้อมไปด้วยความหิวกระหายเที่ยวไปอยู่.
บทว่า สามิโน อิธ หุตฺวาน ความว่า เมื่อก่อน ราชบุตร
เป็นเจ้าของเที่ยวไปในที่ใดในโลกนี้ แต่ไม่เป็นเจ้าของในที่นั้นนั่นเอง
ด้วยบทว่า มนุสฺสา อุนฺนโตนตา ท่านแสดงว่า ในเวลาเป็นมนุษย์
ราชกุมารเหล่านั้นเป็นเจ้าของ ทำกาละแล้วเสื่อมลงด้วยอำนาจ
กรรม เพราะความหิวกระหาย ท่านจงเห็นปกติของสงสาร.
บทว่า เอตมาทีนวํ ญตฺว อิสฺสรมทสมฺภวํ ความว่า
นรชนรู้โทษ กล่าวคือการเกิดในอบายอันเกิดด้วยด้วยความเมา ใน
ความเป็นใหญ่นี้ แล้วละความเมาในความเป็นใหญ่เสีย ขวนขวาย

เอาแต่บุญ. บทว่า ภเว สคฺคคโต นโร ความว่า พึงไปสวรรค์ คือ
เทวโลกเท่านั้น
พระศาสดาครั้นตรัสประวัติของเปรตเหล่านั้นด้วยประการ
ดังนี้แล้ว ทรงให้อุทิศทานที่มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นกระทำแก่
พวกเปรตเหล่านั้น แล้วทรงแสดงธรรม อันเหมาะแก่อัธยาศัยของ
บริษัทผู้ประชุมกัน เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชน ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุมารเปตวัตถุที่ 6

7. ราชปุตตเปตวัตถุ



ว่าด้วยประทุษร้ายต่อฤๅษีตกนรกแล้วมาเป็นเปรต



[127] ผลแห่งกรรมทั้งหลาย ที่พระราชโอรส
ทำไว้ในชาติก่อน พึงย่ำยีหัวใจ พระราชโอรส
ได้เสวยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่า
รื่นรมย์ใจ และการฟ้อนรำขับร้อง ความยินดี
ความสนุกสนานเป็นอันมาก เสด็จเที่ยวไปใน
สวนแล้วเข้าไปสู่เมืองราชคฤห์ ได้ทรงเห็น
พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าสุเนตตะ ผู้มีตนอัน
ฝึกแล้วมีจิตตั้งมั่น มักน้อย สมบูรณ์ด้วยหิริ
ยินดีในอาหารเฉพาะที่มีอยู่ในบาตร จึงเสด็จลง
จากคอช้างแล้วตรัสถามว่า ได้อะไรบ้างพระผู้-
เป็นเจ้า แล้วทรงจับบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า
ยกขึ้นสูง แล้วทุ่มลงที่พื้นดินให้แตก ทรงพระ
สรวล หลีกไปหน่อยหนึ่ง ได้ตรัสกะพระปัจเจก-
พุทธเจ้าผู้แลดูอยู่ด้วยอำนาจความกรุณาว่า เรา
เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากิตวะ แน่ะภิกษุ
ท่านจักทำอะไรเรา พระราชโอรสยัดเยียด(ตก)
อยู่ในนรกเสวยผลอันเผ็ดร้อนของกรรมอัน
หยาบช้านั้น พระราชโอรสผู้เป็นพาลทำบาป